บทที่ 22 Snow White เช้าวันรุ่งขึ้น...ท่ามกลางแสงแดดอ่อนสีทองที่กำลังพยายามทอแสงผ่านชั้นบรรยากาศแข่งกับหิมะซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณในช่วงฤดูหนาวสุดท้ายของปี และด้วยอุณหภูมิที่ติดลบถึงสิบองศาเซลเซียส จึงทำให้หลังคาอาคารบ้านเรือนและตึกต่างๆ ในกรุงโซลขาวโพลนไปหมด มินแจวอนที่ตื่นแต่เช้าแล้วมานั่งเหม่อลอยอยู่หน้าเปียโน ใบหน้าของหญิงสาวยามนี้ช่างดูเศร้าสร้อยยิ่งหนัก เธอกำลังทอดสายตาออกไปข้างนอกหน้าต่าง เพื่อที่จะรับความรู้สึกสงบจากความสวยงามของหิมะ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้จิตใจรู้สึกเยือกเย็นและผ่อนคลายขึ้นบ้าง แจวอนกลับมาอยู่ที่บ้านของพ่ออีกครั้งในรอบหกปี จึงทำให้วันคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นวันที่เธอจะได้ใช้ช่วงเวลาอันแสนพิเศษกับพ่อเป็นครั้งแรก และเมื่อนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึง หญิงสาวก็ประทับนิ้วเรียวยาวลงบนแป้นอย่างชำนาญ เพื่อบรรเลงเพลง Way Back into Loveที่เธอหลงรักทันทีหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องMusic and Lyricsเพลงที่เธอไม่มีวันลืมเวลาต้องการแรงบันดาลใจ หากแต่เล่นไปยังไม่ทันที่จะจบเพลง แจวอนก็ต้องหยุดชะงักลงทันที “All I wanna do is find a way back into love I can't make it through without a way back into love” มินแจวอนหันไปตามเสียงทันทีด้วยความตกใจ คิมมินชอลนั่นเอง เขากำลังนั่งลงข้างๆ เธอ แล้วจับมือทั้งสองข้างของเธอมาวางเอาไว้บนแป้นเปียโนตามเดิมอย่างนุ่มนวล ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะพาเจ้าของมือน้อยๆ บรรเลงเพลงตามตัวโน้ตที่เธอกางเอาไว้ ภายใต้ลมเย็นๆ ที่ยังคงมีมืออุ่นๆ ของเขาคอยนำทาง ท่ามกลางเปียโนสีขาวหลังใหญ่ที่เปล่งเสียงใสกังวานราวกับแก้ว มินชอลกำลังละสายตาจากสมุดโน้ตตรงหน้า เพื่อก้มมองหญิงสาวที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา แจวอนได้แต่ตัวสั่นอย่างอายๆ เมื่อเขาดึงตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดจากทางด้านหลังอย่างแนบชิด ความรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจของเธอขาดหายไปนาน กำลังทำให้ความรู้สึกของแจวอนอ่อนไหวอย่างมาก จนเธอไม่เข้มแข็งพอที่จะฝืนความรู้สึกของตัวเอง “I ‘m your…” ‘พระเจ้าสร้างฉันให้เป็นของเธอ’ มินชอลบอกกับแจวอนหลังจากดันตัวเธอออกมา ก่อนที่จะก้มลงจูบที่ริมฝีปากของเธออย่างนุ่มนวล สัมผัสที่แฝงไว้ซึ่งความห่วงหาอาวรณ์ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมภายในหัวใจ กำลังทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นแรง เขาอยากจะจูบแจวอนจนกว่าจะพอใจ ให้สมกับช่วงเวลาแห่งความเดียวดายกว่าสองเดือนที่ไม่มีเธอ “พะ...พอได้แล้ว ปล่อยฉันเถอะนะ” แจวอนพยายามเบี่ยงตัวออกห่างจากอ้อมกอด ที่กำลังทำให้เธอขนลุก “แค่นี้ยังน้อยไป เมื่อเทียบกับการที่เธอปล่อยให้พี่ต้องทำงานหนักอยู่ที่ญี่ปุ่น...โดยไม่มีเธอ” สองเดือนกว่าที่เขาไม่ได้เจอแจวอน ก็เนื่องมาจากความแรงและความโด่งดังมากๆ ของวงSappheirosที่ญี่ปุ่น พวกเขาทั้งเจ็ดคนจึงต้องไปแสดงคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในดินแดนอาทิตย์อุทัย เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายของบริษัทที่จะส่งศิลปินไปตีตลาดที่ญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง จนเขาและเพื่อนร่วมวงต้องใช้ชีวิตและทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอยู่ที่นั่นนานนับเดือน “ก็แค่สองเดือนเองนี่นา” เธอแย้ง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้สึกเหงาเวลาที่ไม่มีเขาเช่นกัน “ถ้างั้น...ก็เก็บเอาไว้ลงโทษอีกวันหลัง” ริมฝีปากของมินชอลกระตุกเป็นรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอ จนจมูกของทั้งสองชนกัน “ไม่เจอกันแค่สองเดือน...พี่ร้ายขึ้นชะมัด”แจวอนสบถเบาๆ “ยัยกระต่ายน้อย...” เขาสบตาเธอ ที่กำลังกระพริบปริบๆ ด้วยความสงสัย “คราวนี้มีอะไรอีกล่ะ...ไม่ต้องมาทำหน้าตาน่าสงสารแบบนี้เลย” แจวอนทำหน้ามุ่ย “พี่คิดถึงเธอนะ แล้วเธอล่ะคิดถึงพี่บ้างรึเปล่า” “ไม่รู้สิ เพราะสักกี่ร้อยพันคำถามของพี่ คำตอบของฉันก็อยู่ในสายลม ที่แม้จะมองไม่เห็น แต่ฉันเชื่อว่าพี่สัมผัสได้” หญิงสาวบอกยิ้มๆ ที่เธอใช้คำตอบนี้ แทนคำว่าคำว่า ‘คิดถึง’แล้วแจวอนก็ทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าผิดหวังของมินชอล เพราะเรื่องอะไร...ที่เธอจะบอกเขาออกไปตรงๆ ว่ารู้สึกเช่นไร ก็ต้องให้เขาตีความหมายคำพูดของนักเขียนอย่างเธอเอาเองบ้าง จากนั้นแจวอนก็เอาแก้มนิ่มแนบกับบ่าของมินชอลแล้วหลับตาลง ก่อนที่จะบรรเลงเพลงรักอยู่ท่ามกลางความมืดอย่างสบายใจ แต่เพราะความมืดสนิทของดวงตานี่เอง ที่ทำให้เธอมองไม่เห็นใบหน้าของคิมมินชอลที่สลดลงนิดหนึ่ง และในจังหวะนั้นเอง...ที่คิมเยซึลซึ่งแอบมองท่าทีของทั้งคู่อยู่ ก็เกิดความรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก เพราะแผนการของเธอกำลังคืบหน้าไปมาก และอีกไม่นาน...ทุกสิ่งทุกอย่างของคังซองโฮกับมินแทรันก็ต้องกลายมาเป็นของเธอกับลูก คังซองโฮนึกสงสารแทบขาดใจ เมื่อเห็นลูกสาวสุดที่รักดูซูบผอมลงมาก หลังจากที่แจวอนเข้ามาทำงานในบริษัท...ดวงโตกลมโตที่เป็นประกายและใบหน้าที่เคยยิ้มแย้ม ได้กลายเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำและไม่สดใส แม้ลูกจะมีความคิดที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี แต่แจวอนก็กลายมาเป็นคนที่เอาแต่เคร่งเครียดได้ง่ายๆ ได้เช่นกันราวกับว่ามีเรื่องอะไรที่หนักใจอยู่ เมื่อเห็นว่าลูกสาวกำลังทำงานหนัก แต่ไร้ซึ่งความสุขในงานที่ทำ ซองโฮจึงตัดสินใจถามไถ่แจวอน ก่อนที่มันจะสายเกินไป “ช่วงนี้พ่อว่าลูกดูเครียดๆ ไปนะ ที่บริษัทมีปัญหาอะไรรึเปล่า มีอะไรให้พ่อช่วย...บอกได้เสมอนะลูก” คังซองโฮถามลูกสาวในขณะที่กำลังร่วมรับประทานอาหารเย็นกันอย่างพร้อมหน้า ความอบอุ่นและอ่อนโยนของผู้เป็นพ่อกำลังแผ่ซ่านออกมาจากคำถาม ท่ามกลางบรรยากาศของมื้อเย็นที่ดูแปลกไปเล็กน้อย เพราะบนโต๊ะอาหารมีมินชอล และฮันยอซูมาร่วมรับประทานด้วย ทำให้คิมเยซึงดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะไพ่ตายใบสุดท้ายของเธอที่จะเอาไว้กำจัดทายาทเพียงคนเดียว KM กรุ๊ป ยอมกลับมาพักที่บ้านใหญ่อีกครั้ง “ที่ KM ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี แต่คุณหนูคงทำงานหนักมากเกินไป จนไม่มีเวลาพักผ่อนเท่านั้นเอง ใช่ไหมครับ...คุณหนูแจวอน” ฮันยอซูตอบตำถามแทนแจวอน เมื่อเห็นเธอมีท่าทีอึดอัด แล้วหันมามองเขาอย่างต้องการความช่วยเหลือ เพราะเธอยังไม่อยากให้พ่อทราบถึงเรื่องผิดจริยธรรมทางธุรกิจในการจ่ายและรับเงินสินบน เพื่อแลกกับการผลักดันผลงานของศิลปินหน้าใหม่ขึ้นสู่ชาร์ตเพลง ที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสูงของบริษัทเข้าไปเกี่ยวข้องในคดีด้วย “ใช่ค่ะคุณพ่อ บริษัทของเราได้ซีอีโอที่เป็นผู้หญิงเก่ง และมีความสามารถระดับประเทศมาช่วยบริหารทั้งที จะมีปัญหาได้ไง ใช่ไหมคะ...คุณเยซึล” ดวงตาดำขลับของแจวอน...ปรายตามองไปยังผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับแม่ของเธออย่างไม่ต้องการคำตอบ จนคนถูกมองรู้สึกเย็นวาบ ‘ยัยเด็กเนี่ย...น่ากลัวกว่าที่คิดไว้มาก’ เยซึลคิดในใจ ต่อให้แจวอนรู้ว่าแผนทำลายชื่อเสียงของบริษัทมีเธอเป็นคนสั่งการ แต่มันก็คงไม่มีหลักฐานอะไรที่จะมาพิสูจน์ได้ ว่าเธอเป็นคนทำเรื่องอื้อฉาวนี้ขึ้นมาทั้งหมด “นั่นสินะ เยซึลช่วยพ่อทำธุรกิจมานาน ตั้งแต่ลูกยังไม่เกิดด้วยซ้ำ มีเรื่องอะไรหนักใจที่บริษัทก็ขอคำปรึกษาคุณน้าเขาได้นะลูก” ซองโฮไม่อาจซักไซ้ต่อไปได้อีก เขาจึงยิ้มให้ลูกสาวและเยซึลอย่างอ่อนโยน เพื่อให้ทั้งสองคนรู้สึกดีต่อกันให้มาก แม้เขาจะรู้ดีว่าลูกสาวยังไม่เคยลืมเรื่องราวความบาดหมางในอดีต แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เขามีให้เยซึลก็มีมากพอที่จะทำให้เขาคิดที่จะมอบแก้วตาดวงใจของเขาฝากไว้ที่ลูกชายของเธอ “แน่นอนค่ะคุณพ่อ ถ้ามีปัญหาเรื่องงาน หนูจะปรึกษาคุณเยซึลทันที” แจวอนพยักหน้า ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังของเธอกำลังตอกกระแทกเข้าไปที่ใจของมินชอลที่นั่งอยู่ตรงข้ามให้เจ็บช้ำ เขากำลังอยู่ท่ามกลางความทรมานแทบขาดใจในสงครามเย็นย่อยๆ บนโตะอาหาร จนเขาแทบจะหมดความรู้สึกอยากอาหารขึ้นมามันที แม้แจวอนจะตอบแบบธรรมดา แต่ภายในใจของเธอกลับรุ่มร้อนราวไฟเผา ด้วยความรู้สึกอัดอั้นใจที่ไม่สามารถบอกกับบิดาอันเป็นที่รัก ว่าตอนนี้คนที่พ่อเชื่อใจมากที่สุด อาจกำลังจะคิดทำลายบริษัทของเราอยู่ แต่เป็นเพราะเธอไม่มีหลักฐานชี้ชัดได้ ว่าใครเป็นคนสั่งการตัวจริง ที่ทำให้ผู้จัดการส่วนตัวของนักร้องใหม่ในสังกัด มีเงินมากพอที่จะไปจ่ายค่าสินบนได้ขนาดนั้น และยังยอมรับสารภาพอย่างง่ายดาย ว่าเหตุที่ทำเช่นนั้นเพราะต้องการสร้างผลงานให้กับศิลปินที่ตัวเองดูแลอยู่ จนแจวอนและมินโฮต้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วยเก็บความลับเรื่องนี้เอาไว้ เพราะไม่ต้องการให้สาธารณะชนรับทราบเรื่องที่ผิดจริยธรรมทางธุรกิจของบริษัทไปมากกว่านี้ “อ้อ พ่อมีเรื่องอะไรจะขอให้หนูช่วยสักหน่อย” ซองโฮเอ่ยขึ้นขณะรับโฮต็อกที่แจวอนส่งให้ “คุณพ่อมีเรื่องอะไรเหรอคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย ก่อนจะเขยิบตัวเข้ามาใกล้พ่อแล้วสวมกอด “ช่วยไปพักผ่อนบ้าง สักสองสามวันทีโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งสิ้น” “อะไรนะคะ ?” แจวอน “พ่อให้หนูลาไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด เดี๋ยวช่วงที่ลูกไม่อยู่ พ่อจะให้ลุงยอซูกับน้าเยซึลช่วยดูแลงานต่อเอง” ซองโฮบอกกับแจวอนด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะเอ่ยดักหนทางการปฏิเสธของลูกสาวไว้ทั้งหมด “คุณพ่อคะ นี่คุณพ่อไม่คิดที่ถามความสมัครใจของหนูก่อนเลยเหรอคะ ว่าหนูอยากจะไปพักรึเปล่า” “มันไม่ใช่อย่างนั้น พ่อแค่เป็นห่วงลูก ทำตามที่พ่อต้องการสักครั้งเถอะนะ” “ผมว่าก็ดีนะครับคุณหนู ไปเที่ยวบ้าง พักบ้าง กลับมาจะได้มีไฟแล้วมาบริหารงานต่อได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง” เมื่อได้ฟังเหตุผลจากฮันยอซูที่กล่าวขึ้นมาสนับสนุนความคิดของซองโฮ แจวอนก็เริ่มใจอ่อน ก่อนที่จะพยักหน้า แล้วเธอก็เปลี่ยนมาถามคำถามอย่างรวดเร็ว “ก็ได้ค่ะคุณพ่อ แต่บอกกะทันหันแบบนี้ หนูคิดไม่ออกเลยว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี” “ลูกไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกนะ พ่อให้มินชอลจัดการให้เรียบร้อยแล้ว” “อะไรนะคะ คุณพ่อให้...” แจวอนเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ ก่อนถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ใช่...พ่อให้ลูกกับมินชอลไปพักผ่อนกันทั้งคู่เลย” แจวอนเหลือบมองใบหน้าของพ่อที่กำลังมีความสุข ก่อนจะลอบถอนหายใจ สุดท้ายเธอก็ต้องตอบรับอย่างลำบากใจ แม้จะรู้สึกเหมือนโดนบีบบังคับ แต่มันเกิดจากความห่วงใยที่พ่อมีให้กับเธอจากใจจริง ช่วงเวลาผ่อนคลายกำลังดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ทว่าความคิดของหญิงสาวกลับเดินไปมาพุกผ่านอยู่ในสมอง ถ้าเลือกได้ เธออยากจะให้ชายหนุ่มตรงหน้าเธอเป็นเพียงแค่ใครสักคนที่เธอไม่รู้จัก และเป็นแค่ใครสักคนที่ไม่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ทั้งสองคนได้แต่มองหน้ากันอย่างเงียบๆ มินชอลรู้ดีว่าหญิงสาวอึดอัดใจแค่ไหนกับคำขอร้องของซองโฮ เธอต้องไปกับเขาทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจเลยสักนิด แต่มินชอลก็ไม่มีทางเลือก จึงได้แต่เพียงรับฟังการสนทนาบนโต๊ะอาหารอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่วง Sappheirosต้องไปแสดงคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่นเป็นเวลากว่าสองเดือนลีมินาไม่ได้มีโอกาสไปทำงานร่วมด้วย เนื่องจากเธอต้องเข้ารับการฟื้นฟูความทรงจำในผู้ป่วยความจำเสื่อม แม้จะเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร เพราะมินาเริ่มจำได้เพียงเรื่องราวในตอนเด็กๆ บางส่วนเท่านั้น ชเวโซวอนที่เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นพร้อมๆ กับสมาชิกในวงคนอื่นๆ ก็รีบโทรศัพท์ติดต่อลีมินาทันทีเมื่อถึงสนามบิน แม้เขาจะยังเหนื่อยกับการเดิน แต่โซวอนก็ไม่อาจจะห้ามใจตัวเองที่อยากจะพบกับมินาแทบขาดใจได้ เขาจึงขออนุญาตพ่อเพื่อปิดร้านอาหารสุดหรูบนชั้นดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมือง เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายและการจราจรที่แสนจะติดขัดบนถนนมานั่งชมสีสันของท้องฟ้ายามเย็น “ฉันว่าคุณดูผอมลงไปมากนะคะ หลังกลับมาจากญี่ปุ่น” ลีมินาเอ่ยขึ้นแก้เขิน เมื่อต้องมานั่งรับประทานอาหารกับชเวโซวอนแบบสองต่อสองท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นได้ทั้งเมือง “ครับ ดีใจจังที่คุณสังเกตเห็น ผมก็เลยชวนคุณมาเป็นเพื่อนกินอาหารมื้อค่ำให้อร่อยๆ สักมื้อ” “ค่ะ...” มินาตอบรับยิ้มๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “ว่าแต่ตอนที่คุณโทรหาฉัน คุณบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่จะบอกกับฉันใช่ไหมคะ” มินามองดวงตาจริงจังของโซวอนที่มองเธออย่างมีความหมายด้วยความรู้สึกสับสน และว้าวุ่นระคนไปหมด “ใช่ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เรามากินข้าวกันก่อนเถอะนะครับ ผมหิวแล้ว” โซวอนจ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวที่เขารัก แล้วคลี่ยิ้มขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ จนมินาเห็นลักยิ้มบุ๋มอยู่ตรงแก้ม “ฉันไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย ว่าคุณมีลักยิ้มด้วย” “ใช่ครับ ผมมีมาตั้งแต่เกิด แม้ความจริงแล้วมันจะเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้อันตรายอะไร เพราะเรามีความสุข เราจึงยิ้มจนเห็นลักยิ้ม” เขายิ้มเพราะอยากให้โลกทั้งใบหยุดหมุนอยู่ที่ช่วงเวลานี้ไปอีกนานๆ การที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่ทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างมีค่า มันทำให้คนเรามีความสุขมากๆ แบบนี้เอง จนไม่รู้ว่าเขาจะห้ามใจไม่ให้พูดถึงสิ่งที่อยากพูดจนกว่าจะถึงเวลาได้หรือเปล่า หลังมื้ออาหารค่ำที่แสนจะโรแมนติกท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงจากนักดนตรีไวโอลิน พนักงานเสิร์ฟก็เริ่มนำเค้กข้าวซึ่งปั้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวที่โรยด้วยงาและเกาลัดมาวางลงตรงหน้าของหญิงสาว พร้อมกับกล่องกำมะหยี่รูปหัวใจสีน้ำเงิน “เนื่องในโอกาสอะไรเหรอคะ” มินาถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “วันนี้เป็นวันครบการแต่งงานของคุณพ่อกับคุณแม่ของผม” “อ๋อ แล้วเกี่ยวอะไรกับกล่องนี้คะ” มือบางค่อยๆ บรรจงเปิดกล่องออกอย่างเบามือที่สุด แล้วรู้สึกใจสั่นแปลกๆ ที่ข้างในมีสร้อยคอสีเงินคล้องแหวนรูปหัวใจ เมื่อได้เห็นความน่ารักของสิ่งมีค่าที่ถูกเก็บไว้ภายใน...หญิงสาวจึงยิ้มออกมาน้อยๆ แต่นั่นก็เป็นภาพที่งดงามที่สุดภายในหัวใจของโซวอน “เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว คุณพ่อของผมเคยขอคุณแม่แต่งงานที่ดาดฟ้าแห่งนี้ แล้วท่านก็ครองรักกันมานานอย่างไม่มีทางเสื่อมคลาย ผมเลยอยากจะขอใช้สถานที่แห่งนี้ เพื่อบอกความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณ” ตอนนี้โซวอนรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขจริงๆ ที่จะได้พูดในสิ่งที่ถูกเก็บไว้ภายในใจมานาน เมื่อก่อนนี้...เขาอาจจะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ ว่าความรู้สึกที่มีให้มินามันคือความรักใช่หรือเปล่า แต่เมื่อต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นถึงสองเดือน ความห่างไกลก็ทำให้เขาเข้าใจหัวใจของตัวเองทันที ว่าเขารักและคิดถึงใครที่อยู่ไกล ณ อีกขอบฟ้าหนึ่ง “เพราะคุณคือผู้หญิงเพียงคนเดียว...ที่ผมอยากจะโอบกอดด้วยหัวใจและจิตวิญญาณทั้งหมด มันเคยเป็นสิ่งที่ยากสำหรับผมที่จะเปิดใจรักใคร แต่สำหรับคุณ...ผมสามารถตกหลุมรักได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เจอกันในครั้งแรก ผมอยากจะบอกคุณมานานแล้ว ว่าผมรักคุณ” “แต่ตอนนี้...ฉันกลับไม่รู้จะบอกอะไรกันคุณดี เพราะสมองของฉันตอนนี้มันไม่ใช่แค่เพียงความว่างเปล่าเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะมันกำลังถูกเติมเต็มด้วยผู้คนรอบๆ ตัว รวมทั้งความรู้สึกดีๆ จากคุณ ขอบคุณนะคะ สำหรับความรู้สึกนี้” มินาเอ่ยขอบใจจากใจจริง เธอรับฟังคำสารภาพรักจากโซวอนด้วยความอบอุ่นในหัวใจ แต่เพราะยังสับสนกับความรู้สึกที่มีให้เขา มินาจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดีกับความรักที่กำลังเดินทางเข้ามาใกล้ “ผมก็ต้องขอบคุณ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างคุณเช่นกัน ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มชีวิตให้ผมมีความสุขมากขึ้น แต่ผมอยากจะให้คุณเป็นมากกว่าเพียงเพื่อนกัน เรามาเป็นแฟนกันนะ” “เอ่อ...คือว่า ฉัน...” หนึ่งวินาทีของโซวอนยามนี้แสนยาวนาน…สำหรับการรอคอยคำตอบจากมินา หญิงสาวมีท่าทางอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด เพราะความรักจากชายหนุ่มตรงหน้ากำลังเข้ามาใกล้เธอมากจนเธอเองรู้สึกสับสัน ทั้งๆ ที่โซวอนเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกๆ อย่าง แต่ทำไมเธอยังลังเลและไม่ตอบรับรักเขาทันที ราวกับว่าหัวใจของเธอถูกปิดตายเพราะใครสักคน จนไม่อาจจะรับรักใครได้อีก “ฉันยังไม่พร้อมที่จะมีความรัก และยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะเป็นแฟนที่ดีให้กับใครได้ เพราะแม้แต่ตัวเอง ฉันยังจำไม่ได้ แล้วคนความจำเสื่อมอย่างฉัน ก็เป็นได้แค่เพียงภาระให้กับคุณเท่านั้น” มินาบอกอย่างเศร้าๆ ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความกังวล “แต่ผมพร้อมที่จะร่วมเดินไปกับคุณ ให้โอกาสผมสักครั้งนะครับ” โซวอนบอกอย่างหนักแน่นอีกครั้ง จนมินาไม่กล้าสบตาของเขา เธอรู้ดีว่าถ้าหากปฏิเสธออกไป มันจะต้องทำให้โซวอนต้องเจ็บปวดอย่างมาก ซึ่งเธอไม่อยากให้คนดีๆ อย่างเขาต้องมาเสียใจเพราะเธอ หญิงสาวลุกเดินออกจากโต๊ะเพื่อเดินไปยังริมระเบียงของดาดฟ้า แล้วมองออกไปเบื้องหน้าซึ่งเป็นบรรยากาศยามค่ำคืนในกรุงโซล เมื่ออยู่กับชเวโซวอนดวงตาของเธอก็ไม่หลงเหลือน้ำตาไว้เพื่อร้องไห้ ราวกับเขาเป็นดั่งตะวันที่ฉายแสงลงมาจากเบื้องบน ความรักของเขากำลังโอบล้อมเธอไว้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด “ค่ะ ฉันยินดีที่จะคบกับคุณ” คำตอบของมินานั้นช่างดูเลื่อนลอย และยืนนิ่งยอมรับอ้อมกอดอันอบอุ่นของผู้ชายตรงหน้า เพื่อเป็นการย้ำชัดว่าเธอตอบรับการคบหาครั้งนี้อย่างแน่นอน จนทำให้โซวอนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภวังค์ของมินา “ขอบคุณมาก...มินา แล้วผมจะรอฟังคำว่ารักจากคุณบ้าง” ชายหนุ่มยิ้มรับให้กับคำพูดที่แผ่วเบาของเธอ ท่ามกลางแสงสลัวของพระจันทร์ทำให้โซวอนไม่อาจจะมองเห็นดวงตาคู่งามของหญิงสาว ที่เหมือนกำลังปกปิดความเศร้าไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ แล้วในคืนนี้...โซวอนก็บรรจงจูบหญิงสาวที่เขารักอย่างอ่อนโยน เขาให้สัญญากับมินาด้วยสัมผัสที่แผ่วเบา ว่าจะรักเธอเพียงคนเดียวตลอดไป ให้สมกับช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดเธอ