บทที่ 5 Right now, Right away: ตอนนี้
อิมเมจของเท็ตสึ
จิ้นจากเจ้าปลาน้อยแห่ง super junior
ที่เจ้นำมาใช้ทำมาหากินเป็นประจำ
โดยไม่เคยจ่ายค่าตัว ^^;
ภาพล่าง...มินแจวอนจิ้นจากเฮียวจู
ปีค.ศ.2006…บนทางเดินที่ทอดยาวไปสู่สวนดอกเบญจมาศของโรงแรมหรูใจกลางกรุงโซล หญิงสาววัยแรกรุ่นที่มีใบหน้ารูปไข่อันซีดขาว แววตาของเธอนั้นซ่อนเร้นความโศกเศร้าเอาไว้...ภายใต้ดวงตากลมโตที่แสนน่ารักราวกับกระต่ายตัวน้อยๆ เธอคือมินแจวอนสาวน้อยร่างบางที่กำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าทางเข้าสวนดอกไม้ แจวอนไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าวันนี้เธอจะได้เจอกับโอฮายาชิ เท็ตสึกะอีกครั้ง หลังจากที่ไม่เคยพบเจอหรือติดต่อกันมากว่าหกปี เธอรู้เพียงแต่ว่าตอนนี้พี่ชายต่างสายเลือดได้กลายมาเป็นหนึ่งในเจ็ดหนุ่มแห่งวง Sappheiros บอยแบนด์อันดับหนึ่งของเอเชีย ส่วนเรื่องราวส่วนตัวอื่นๆ ของเขา...เธอแทบจะไม่เคยรับรู้หรือทราบเรื่องราวอะไรทั้งนั้น...นับจากวันที่เท็ตสึและเธอได้ลาจากกัน
หลังจากที่เท็ตสึตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตเพียงลำพังโดยที่ไม่ขอรับการอุปการะจากพ่อของเธอ แจวอนก็ตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกาพร้อมกับเควินทันที โดยมีคุณน้ายอนฮวาตามไปดูแลเธอ และคุณตาที่ไปพักฟื้นหลังจากเข้ารับการผ่าตัดหัวใจที่อเมริกา
ถึงแม้ว่า...โลกจะหมุนรอบตัวเองได้ภายใน 23.56 ชั่วโมง จนทำให้วันและคืนนั้นต้องเปลี่ยน แต่เราก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่ามันจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปแบบไหน แล้วจะมีเรื่องราวอีกมากมายสักเท่าไหร่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และแม้ว่าเวลาจะทำให้คนทุกคนบนโลกนั้นเปลี่ยนผันไป แต่หัวใจของเธอก็ยังคงมีเขาอยู่ในใจเสมอไม่ว่าจะในฐานะอะไร
เพราะแม้ว่าโลกจะหมุนไป...แต่บาดแผลในหัวใจก็ยังคงอยู่
‘เกือบหกปีแล้วสินะที่เราไม่ได้เจอกัน...’ ตอนนี้เท้าเจ้ากรรมของเธอ กลับไม่ยอมก้าวเดินเข้าไปข้างในสวน ‘ให้ตายเถอะ...ทำไมฉันต้องรู้สึกขี้ขลาดขึ้นมาตอนนี้ด้วยนะ แค่ไปเจอกับพี่เท็ตสึเอง ทำไมต้องกลัวด้วย ไม่ได้จะไปปล้นฆ่าใครซะหน่อย’ แจวอนคิดด้วยท่าทีที่ลุกลี้ลุกลนอยู่ตลอดเวลา การที่จะต้องมาพบกับใครคนนั้นที่ชอบทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง...อย่างปัจจุบันทันด่วนแบบนี้ มันก็ต้องมีความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นมาให้หัวใจสับสนจนร่างกายปั่นป่วนไปหมด
บ้าชะมัด นี่เธอตื่นเต้นเกินไปแล้วนะ ตื่นเต้นขนาดที่อยากจะวิ่งหนีไปจากที่นี่เลยทีเดียว แต่ทันใดนั้นเท็ตสึก็เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังของแจวอนโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“จะเข้าไปดีไหมเนี่ย” แจวอนพึมพำถามกับตัวเองออกมาเบา ๆ แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้เท็ตสึนั้นได้ยิน
“ดีสิ...จะชักช้าอยู่ทำไมล่ะ” เสียงทุ้มๆ ที่ฟังแล้วดูนุ่มนวลเอ่ยขึ้น แจวอนแหงนหน้ามองหาเจ้าของเสียงที่กำลังยืนยิ้มให้เธออยู่ทางด้านหลัง แล้วเธอก็หันกลับไปมองเขาอย่างงุนงง
โอ๊ย...โอ๊ย กรี๊ด !
เสียงกรี๊ดที่ดังก้องอยู่ในหัวของมินแจวอน..แทบจะประทุออกมาให้เท็ตสึนั้นได้ยิน เวลาที่ผ่านไปนานกว่าหกปีทำให้โอฮายาชิ เท็ตสึกะเติบโตขึ้นกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวที่หล่ออย่างสมบูรณ์แบบ เขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากหนัก แค่ตอนนี้เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากเด็กหนุ่มที่ผอมแห้งก็กลายมาเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายและกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ ดูแล้วแข็งแรงบึกบึนเป็นที่สุด และมีเสน่ห์สมกับเป็นผู้ชายที่มัดใจสาว ๆ มาแล้วทั่วทั้งเอเชีย
“พี่ชาย...ทำไมต้องมาแบบเงียบๆ ด้วยคะ ฉันตกใจหมดเลย” แจวอนเอียงคอถามอย่างงุนงง แล้วมองนัยน์ตาพราวระยิบของเขา...ที่กำลังมองสำรวจเธอตั้งศีรษะจรดปรายเท้าอย่างรวดเร็ว
“หึๆ ถ้ามาแบบเสียงดังๆ ก็คงไม่ได้เห็นท่าทางบ๊องๆ ของเธอหรอก พี่นัดเธอไว้ที่สวน...แต่เธอกลับไม่ยอมเดินเข้าไปสักที”
“ก็ฉัน...ฉันตื่นเต้นนี่ ที่จะได้เจอพี่อีกครั้ง” แจวอนตอบพลางเกาศีรษะทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกคัน เพื่อแก้เขิน เธอเองก็รู้สึกงงๆ เหมือนกันว่าเธอจะรู้สึกเขินไปทำไม
“พี่ดีใจนะ...ที่เธอดีใจที่จะได้เจอพี่ โชคดีจัง...ที่วันนี้วงของพี่มาแถลงข่าวเปิดอัลบั้มใหม่ที่โรงแรมนี้ ไม่งั้นพี่ก็คงไม่รู้ว่าเธอกำลังมารับรางวัลอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงข้างๆ” คำพูดของเธอเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้ จนเท็ตสึต้องยิ้มกว้างให้กับเธอ ที่แม้ว่าแจวอนจะกำลังเขินอยู่ แต่เธอก็สามารถเงยหน้าประสานสายตากับเขาได้อย่างไม่หวั่นเกรง
แจวอนที่ยังรู้สึกเขินอยู่ไม่หายก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพียงแค่ได้เจอเท็ตสึเพียงชั่วครู่...หญิงสาวกลับรู้สึกคล้ายมีกระแสไฟแล่นมาทำให้เธอตื่นตระหนักอยู่ในใจ เพราะแม้ว่าเขาจะเคยทำให้เธอต้องเจ็บปวด แต่เธอยังกลับต้องการให้เขาเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง
“นานแล้วสินะ...ที่เราไม่ได้เจอ แล้วก็ไม่ได้คุยกันแบบนี้ ว่าแต่น้องสาวของพี่...กลับมาจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เธอเม้มปากก่อนที่จะตอบคำถามของเท็ตสึ “เกือบสองเดือนแล้วค่ะ...แต่พี่ห้ามบอกใครนะ ว่าเจอฉันที่เกาหลี เพราะฉันไม่อยากถูกจับกลับตระกูลมิน แล้วฉันก็ไม่อยากให้พ่อรู้ด้วยว่าฉันกลับมาจากอเมริกาแล้ว”
แจวอนที่ยังรู้สึกโกรธพ่อของตัวเองอยู่ไม่หายหลังการจากไปของแม่ ทำให้เธอไม่ยอมที่จะกลับไปอยู่กับพ่อ และก็ไม่อยากให้ญาติฝ่ายแม่รู้เด็ดขาดว่าเธออยู่ที่ไหน เพราะแจวอนไม่อยากถูกจับคลุมถุงชนกับเควิน อุตส่าห์หนีกลับมาจากอเมริกาได้ทั้งที...ก็ขอใช้ชีวิตตามลำพังแบบนี้จะดีกว่า เพราะเธอเองก็โตพอและบรรลุนิติภาวะแล้ว
“ได้...พี่จะไม่บอกใคร แต่เธอต้องบอกเหตุผลกับพี่มาก่อนนะ”
“เป็นแบบนี้ทุกทีล่ะสิน่า มีอะไรที่ฉันจะเก็บเป็นความลับได้บ้างฮะ” แจวอนทำหน้างอนเท็ตสึจนแก้มป่อง
“ก็...ความลับในหัวใจของเธอไง ที่ไม่มีใครได้รู้สักที” แล้วชายหนุ่มก็แค่นหัวเราะออกมา ก่อนที่จะพยายามผ่อนลมหายใจช้าๆ เพราะมันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบรรยาย ซึ่งยังอยู่ในความรู้สึกของเขาอย่างรุนแรง
“บ้าน่า...” แจวอนพูดออกมาเบา ๆ ด้วยความเขินกับคำพูดของเท็ตสึ ถึงแม้จะคิดว่าเขาแค่พูดเล่นก็ตามที
กรี๊ดดด...โอป้า โอป้า โอป้า
ยังไม่ทันที่เขาและเธอจะได้พูดคุยกันให้มากกว่านี้ จู่ๆ ก็มีกลุ่มเด็กผู้หญิงนับร้อยคนกำลังวิ่งตามหลังเขามา จนเธอเองรู้สึกตกใจ
‘เฮ้ย ! นี่อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนั่น...เป็นแฟนคลับของเขา’ แจวอนคิดในใจด้วยความตลึง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะรู้สึกตกใจไปมากกว่านี้ เท็ตสึก็จับมือของแจวอนที่กำลังยืนอึ้งอยู่แล้วรีบลากเธอออกไปจากตรงนี้ ก่อนที่จะตกเป็นเหยื่ออันโอชะจากแฟนคลับบางส่วนของเขา เพราะเมื่อเดือนที่แล้วมีเด็กสาวมัธยมต้นมาถ่ายรูปคู่กันกับสมาชิกทุกคนในวง Sappheiros แล้วรูปเหล่านั้นถูกแพร่กระจายออกไป ทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้โดนถล่มจากบรรดากลุ่ม Anti Fans จนเป็นเหตุให้เกิดอาการเครียดจนเธอต้องฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากให้แจวอนต้องตกเป็นเป้าหมายของเหล่าบรรดาแฟนคลับบางคน และกลุ่ม Anti Fans
“แจวอน...ไปเร็ว !” เท็ตสึบอก
“พี่ชาย...เราจะไปไหนกันน่ะ” แจวอนถามเท็ตสึที่กำลังลากเธอ และวิ่งออกไปจากสวนนี้อย่างรวดเร็ว ทำให้เธอต้องวิ่งหนีไปกับเขาสุดฝีเท้า ในขณะที่บรรดาแฟนคลับของเขาก็ตามมาแบบติดๆ พร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดเรียกชื่อของเขาไปตลอดทาง ผู้หญิงกลุ่มนี้กำลังตามทั้งสองคนมา เมื่อเห็นว่าเธอวิ่งช้ากว่าเขา เท็ตสึก็เลยฉุดมือเธอลากไปแทน
“ฉันจะวิ่งไม่ไหวแล้วนะ...พี่ชายปล่อยมือฉันเถอะ” แจวอนร้องบอก
“ไม่ ! พวกเราต้องวิ่งออกไปที่ถนนใหญ่ รถของพี่กำลังรอเราอยู่”
ว้ายยย... ยังไม่ทันที่จะหนีพ้น แจวอนก็ดันสะดุดขาของตัวเองล้มไปซะก่อน เมื่อเท็ตสึเห็นเธอล้มลงไป...เขาก็เลยเปลี่ยนมาอุ้มเธอไว้แทน
“ถ้ารู้ว่าเธอยังตัวเบาเหมือนเคย...พี่อุ้มเธอหนีตั้งแต่ทีแรกดีกว่า”
เท็ตสึยิ้มบางๆ ให้กับเธอ ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์อันคับขันและหน้าตื่นเต้นสุดๆ แบบนี้เขาก็ยังทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอ แล้วเท็ตสึก็อุ้มแจวอนวิ่งหนีไปด้วยความเร็วสุดชีวิตเพื่อมายังรถลีมูซีนสีดำคันยาวที่กำลังจอดอยู่ที่หน้าโรงแรม เขารีบเอื้อมมืออีกข้างไปเปิดประตูรถทันที หน้าโรงแรมยังคงมีบรรดากลุ่มแฟนคลับของวงยืนรออยู่ด้านหน้า พวกเธอได้แต่ตกใจเมื่อเห็นนักร้องสุดโปรดกำลังวิ่งหนีแฟนคลับบางส่วนก่อนที่จะขึ้นรถไป แต่สิ่งที่พวกเธอตกใจยิ่งกว่าที่ได้เห็นหน้าของโอฮายาชิ เท็ตสึกะก็คือ...ผู้หญิงที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมกอดของเขา และมีแฟนคลับบางคนนั้นถ่ายภาพเอาไว้ได้
ภายในรถลีมูซีนสีดำที่กำลังถูกขับออกไป...แจวอนที่ยังอยู่ในอาการเหนื่อยหอบอยู่ก็รีบเปิดกระเป๋าผ้า เพื่อหยิบเอาถ้วยชาใบโตของเธอขึ้นมาดู เพราะนี่เป็นรางวัลแรกของเธอตั้งแต่เป็นนักเขียนมา จึงทำให้ถ้วยรางวัลนี้มีความหมายกับเธอมาก
‘โชคดีนะเนี่ย...ที่ยังอยู่ครบ นึกว่าจะแตกไปซะแล้ว’ เธอคิดในใจด้วยความโล่งอก เพราะแจวอนกลัวว่าตอนที่เธอนั้นล้มลง...จะทำให้เจ้าถ้วยรางวัลใบนี้แตกไปเสียแล้ว
“เธอหนาวรึเปล่า...” หลังจากที่ทั้งสองได้นั่งจนหายเหนื่อยและผ่อนคลายความตึงเครียดลง เท็ตสึก็กระซิบถามแจวอนที่กำลังนั่งตัวสั่นนิดๆ อยู่บนเบาะรถ อากาศภายนอกที่ว่าหนาวแล้วยังไม่หนาวเท่ากับข้างในรถ... แล้วเท็ตสึก็ถอดเอาเสื้อโค้ทชั้นนอกของเขามาคลุมตัวของเธอเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ”
แจวอนรู้สึกว่าตอนนี้มือของเขากำลังค่อยๆ โอบรอบตัวเธออย่างช้าๆ เพื่อให้เธอคลายความหนาวลง แล้วความรู้สึกลึกซึ้งที่ถูกปิดซ้อนไว้ภายในใจก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ว่าแม้จะไม่ได้เจอกับเขามาตั้งนาน แต่เท็ตสึกลับไม่เคยเลือนรางไปจากความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะความผูกพันที่มีนั้นเชื่อมใจของเธอให้ยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ จนแจวอนเผลอใจเอนตัวลงไปพิงชายหนุ่ม
เท็ตสึชำเลืองมองหน้าของหญิงสาว ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอก็ยังคงเหมือนเด็กๆ ที่ดูน่ารักน่าชัง จนเขานั้นอยากจะรั้งตัวเธอเข้ามากอดตั้งแต่แรกเห็น
“พี่ดีใจที่เราได้พบกันอีกครั้ง...แม้ว่ามันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ”
เมื่อแจวอนได้ยินเสียงพูดพึมพำของเท็ตสึ เธอจึงมองหน้าชายหนุ่มตาไม่กระพริบด้วยหัวใจที่เต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ จนเธอต้องรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“แจวอน”
หญิงสาวหันมามองเขาอีกตามเสียงเรียก ดวงตากลมโตของเธอนั้นเต็มไปด้วยคำถามเหมือนกับเด็กๆ
“วางมือลงบนหน้าอกพี่สิ” ตาของแจวอนเบิกกว้างทันที เมื่อเขาเอื้อมมาจับมือของเธอไปวางไว้บนหน้าอกของเขา สัมผัสอุ่นๆ จากมือของเท็ตสึกำลังจะทำให้แจวอนแก้มแดงซ่าน
“แล้วไง...หัวใจของพี่ก็ยังเต้นรัวดีอยู่นี่” หญิงสาวบอกด้วยท่าทางดื้อดึง จนเท็ตสึอยากจะบีบจมูกรั้นๆ ของเธอในยามนี่ยิ่งนัก
“ที่เต้นระรัวแบบนี้ ก็เพราะภายในใจของพี่ยังคือเธอ...ขอบคุณช่วงเวลานี้ที่ทำให้พี่กลับมามีความสุขอีกครั้ง จนพี่ไม่อยากที่จะปล่อยเธอไปอีก” นิ้วของชายหนุ่มลูบไล้ไปที่เรือนผมอันนุ่มสลวยของหญิงสาว จนแจวอนได้แต่หลับตาพริ้ม ก่อนที่จะรู้สึกถึงปลายจมูกของเขาที่กำลังเคลื่อนมาคลอเคลียอยู่ที่แก้มของเธอ
“พี่อยากจูบเธอ...”
แล้วริมฝีปากบางๆ ของเขาก็ทาบทับลงมา แจวอนได้แต่เบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกใจแวบหนึ่ง เพราะเท็ตสึกำลังทำให้เธอรู้สึกล่องลอยออกไปราวกับไร้แรงโน้มถ่วง สายตาของเขาที่มองเธออย่างหวานซึ้งมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของแจวอนอย่างมหาศาล ราวกับว่าดวงตาของเท็ตสึสามารถทะลุทะลวงเข้าถึงหัวใจของเธอได้ แจวอนได้แต่รู้สึกกลัวใจของตัวเองจนไม่กล้าที่จะสบตากับชายหนุ่มอีก เธอพยายามเอียงหน้าหลบการรุกรานของเขา เท็ตสึเองก็รู้ดีว่าเธอรู้สึกอย่างไร เขาจึงก้มลงมาเพื่อจรดริมฝีปากของเธออีกครั้ง เพราะยิ่งเธอขัดขืนกับสัมผัสที่เขามอบให้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากจะเข้าใกล้เธอมากขึ้นเท่านั้น เท็ตสึจูบเธอแล้วจูบเธออีก...โดยไม่กลัวสายตาของคนขับรถที่แอบชำเลืองมองผ่านกระจกเพื่อมองการกระทำของผู้เป็นนาย
“พี่เท็ตสึ...ฉันว่าเรา...”
ยังไม่ทันที่แจวอนจะพูดอะไรออกไปได้มากกว่านี้ เท็ตสึก็ผลักตัวของเธอลงบนเบาะรถ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ไม่ใช่เด็กสาวเหมือนเมื่อหกปีก่อนอีกแล้ว ตอนนี้แจวอนโตเป็นหญิงสาวแรกรุ่นที่ร่าเริงและใสบริสุทธิ์ เธอทำให้โลกของเขาสดใสในตลอดเวลาที่ได้พบกัน ริมฝีปากชมพูระเรื่อของเธอมีเสน่ห์ชวนให้เขาหลงใหล และดวงตากลมโตของเธอก็ทอประกายชวนฝัน...เขาจึงไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมแจวอนถึงกลายมาเป็นนักเขียนชื่อดังได้
แล้วเท็ตสึก็โน้มตัวลงทับร่างบาง เขากำลังไล้ริมฝีปากไปตามซอกคอ จนทำให้แจวอนนั้นควบคุมสติไว้ไม่อยู่ มือของเธอจึงเอื้อมไปสัมผัสลงบนแผ่นหลังของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ และเมื่อเท็ตสึออกแรงเพียงนิดเดียวกระดุมที่ติดอยู่บนเสื้อของเธอก็หลุดออก เนินอกของหญิงสาวกำลังฉายชัดอยู่ตรงหน้าราวกับอยากจะเชื้อเชิญให้เขาสัมผัส เท็ตสึกดริมฝีปากจูบลงมาจนถึงเนินอก...จนแจวอนเริ่มตาลายและร้อนรุ่มไปทั้งตัว แล้วนิ้วมือของเขาก็กำลังแทรกไปตามจุดสัมผัสปลุกเร้า
“พี่เท็ตสึ ! หยุดเถอะนะ !” ก่อนที่เขาจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอออกไปมากกว่านี้ แจวอนก็กลับมามีสติอีกครั้ง จนทำให้อารมณ์ของเขาที่กำลังคิดจะครอบครองเธอหยุดลง เมื่อเห็นแจวอนกำลังร้องไห้ เท็ตสึจึงเลื่อนมือลูบไล้ไปที่แก้มนวลเพื่อช่วยให้เธอหายสะอื้น
“ยัยเด็กโง่...น้ำตาของเธอกำลังทำให้พี่รู้สึกผิด พี่คงคิดถึงเธอและต้องการเธอมากเกินไป พี่ขอโทษ”
“พี่ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก เพราะว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรผิด...มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเราเท่านั้น และมันก็ไม่ได้มีความหมาย หรือความรู้สึกอะไรที่ลึกซึ้งไปมากกว่านี้”
“แค่อารมณ์ชั่ววูบงั้นเหรอ...ฮึ”
เขาพูดอย่างเย็นชาพลางกระชับเสื้อโค้ทเพื่อคลุมตัวของเธอเอาไว้ แจวอนสัมผัสได้ถึงอารมณ์อันขุ่นมัวของเขา แล้วหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก เพราะเท็ตสึและแจวอนเลือกแล้วที่จะปล่อยให้ความเงียบสงบช่วยนำพาความรู้สึกอันวาบหวามที่เกิดขึ้นจางหายไป ทั้งๆ ที่จิตใจของเขาและเธอตอนนี้กำลังกระสับกระส่ายร้อนรน จนหัวใจแทบจะระเบิดออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึกบางอย่าง...ที่ทำให้แสนจะวุ่นวายใจ
เชิงเทียนรูปหัวใจที่มีเปลวเทียนกำลังสั่นไหวไปมาราวกับร่ายระบำ จนทำให้เงาของสิ่งต่างๆ ภายในร้านวูบไหวคล้ายมีชีวิต โคมไฟระย้าจากคริสตัลอันสวยงามถูกเรียงรายไปตามทางเดินของ Virgin club คลับแห่งนี้ถูกตบแต่งตามลักษณะโกธิคซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมในยุคกลางราวช่วงกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 12 ที่ดูมีชีวิตชีวา และงดงามมากราวกับว่ามีเวทมนต์อะไรบางอย่างช่วยเนรมิตขึ้นมา
มินแจวอนที่ยังรู้สึกเหนื่อยล้าในหัวใจ...กำลังเดินเข้ามาภายในร้านด้วยความตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบๆ ข้าง เธอมาที่นี่พร้อมกับลีมินาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา...เพื่อนรักคนสุดท้ายที่เธอยังคิดจะคบหาด้วยอยู่ และมินาก็คือคนที่ช่วยพาเธอกลับมายังเกาหลีได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งหาที่ซุกหัวนอนให้ในกรุงโซล ด้วยความดีและมีน้ำใจของมินานี่แหละ...ที่เป็นเหตุผลให้เธอรักเพื่อนสาวคนนี้มาก ยกเว้นเวลาที่มินางอแงและเอาแต่ใจ ตอนแรกมินานัดเธอเพื่อจะพาไปไปโนแรบัง แต่จู่ ๆ เพื่อนสาวของเธอก็เปลี่ยนใจพามายังคลับที่ดูเรียบง่ายแต่สุดหรูแห่งนี้แทน
“เธอยังไม่บอกฉันเลยนะ...ว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่” แจวอนมองไปรอบๆ ผับ ในใจของเธอยังรู้สึกนึกถึงสัมผัสที่ได้รับจากเท็ตสึ ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกนั้นยังตามมาหลอกหลอนได้แม้ในยามที่เธออยากจะพักผ่อนใจ เมื่อมองออกไป...เธอก็พบแต่ผู้คนที่กำลังนั่งพูดคุย หัวเราะกัน ทักทายกัน บ้างก็ออกตัวไปโยกตามจังหวะของบทเพลงอันแสนสนุกสนาน
“ก็แหม...ไหนๆ เราสองคนก็มีอายุอันเหมาะสมที่จะเที่ยวสถานบันเทิงทั้งที เราก็น่าจะมาสนุกกันหน่อยนะ” มินาสวมกอดเพื่อนรักพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเธอก็พาแจวอนไปยังโต๊ะที่โทรมาจองไว้ล่วงหน้า บริเวณโต๊ะที่มินาพาเธอเดินมาเต็มไปด้วยชายหญิงนับสิบคู่...ที่กำลังพูดคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน
“เฮ้...มินา พวกเรากำลังรอเธออยู่เลย มาๆ มานั่งตรงนี้เลย มีคนกำลังรอเจอเธออยู่พอดีเลย” เสียงของหญิงสาวที่แต่งตัวในชุดแนวโลลิต้า ปาร์คซอลมุลกำลังโบกมือเรียกมินาอยู่ ทำให้ทุกคนบนโต๊ะหันมามองแจวอนกับมินาตั้งแต่หัวจรดเท้า จนทำให้แจวอนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องกับการถูกมองจากคนหมู่มากแบบพินิจพิจารณาขนาดนี้ ยกเว้นแต่ชายหนุ่มที่ใส่แว่นเพียงคนเดียวในกลุ่มเท่านั้น ที่เขาดูเฉยชาและดูเหมือนจะไม่ค่อยแยแสกับสิ่งรอบๆ ตัวเท่าไรนัก
“ใครฮะ...รอฉัน นี่เธออย่าบอกนะ ว่างานจับคู่ที่ฉันรอมานานแสนนานเนี่ย...ฉันต้องคู่กับอีตาแว่นเนี่ย”
ถึงแม้ว่ามินาจะเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสวยราวกับภาพวาด แต่เธอก็ดันมีนิสัยหวานปนห้าวอย่างกับผู้ชาย แล้วยังชอบไว้ผมยาวซึ่งมันดูขัดกับบุคลิกที่ดูลุยๆ ของเธอ แถมนิสัยที่ปากกับใจตรงกันนั้นเป็นลักษณะเฉพาะที่แสนจะเป็นอันตรายและเป็นท่าไม้ตายของมินา และเมื่อเห็นเพื่อนอีกคนของเธอแอบชี้ให้เห็นว่าวันนี้เธอต้องจับคู่กับใคร มินาก็ได้แต่สบถออกมาเบาๆ แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้เขาคนนั้นที่เธอพูดถึงได้ยิน
เมื่อมินามองไปยังที่นั่งข้างๆ ของเพื่อนสาวอีกคนของเธอ ดวงตาอันเฉียบคมภายใต้ขนตาอันงอนยาว ก็ปรายตามองไปยังผู้ชายที่มีผมสีบลอนด์ทองแบบฝรั่ง ถึงแม้ภายนอกของเขาจะดูแต่งตัวแบบเฉิ่มๆ เฉยๆ แต่ก็ไม่อาจซ้อนความเท่ของเขาไว้ได้ แต่ให้ตายสิ...เธอไม่ชอบสายตาของเขาที่ถูกอำพรางไว้ภายใต้แว่นตาอันหนาเตอะเลย เพราะสายตานิ่งๆ ของเขาทำให้เธอรู้สึกเกรงกลัวได้อย่างประหลาด ทั้งๆ ที่เพิ่งจะพบเจอกันเป็นครั้งแรก แถมแววตาของเขาก็ดูคุ้นๆ อีกต่างหาก แต่เธอพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก...ว่าเธอเคยเห็นแววตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
“นี่...มินา ! ฉันรู้สึกว่านี่มันเหมือนงานนัดบอดจับคู่สำหรับคนโสดเลยนะ” แจวอนที่รู้สึกขัดๆ เขินๆ พยายามฉีกยิ้ม แล้วลอบกระซิบถามมินาที่กำลังเอาแต่มองเขม็งไปยังชายหนุ่มใส่แว่น
“ก็ใช่น่ะสิ...เธอคิดว่าฉันพาเธอมาเขียนนิยายรึไงฮะ” มินาตอบแจวอนออกไป แต่สายตาของเธอยังคงมองไปที่ผู้ชายคนนั้น
“เธอหลอกเอาเวลาอันแสนมีค่าของฉัน...ให้มางานนัดบอดจับคู่เหรอ ยัยมินา !” แจวอนโกรธจนหน้าแดงไปหมด เธอได้แต่ส่งสายตาเคืองๆ ไปยังเพื่อนรัก แต่จะให้เธอทำอะไรไปได้มากกว่านี้ ในเมื่อก้าวเข้ามาแล้ว...ก็ต้องไม่มีคำว่าถอย ถือว่ามาเที่ยวเอาความสนุกที่ดูเหมือนจะไร้สาระ แต่มันก็เป็นสาระกับชีวิต เพราะตอนนี้เธอแค่อยากจะทำอะไรลงไปแบบไม่มีเหตุผล และไม่มีความหมาย...ก็เท่านั้น
ลีมินาเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ กับชายหนุ่มหัวทอง ในขณะที่แจวอนก็นั่งลงไปข้างๆ มินาอีกที และเมื่อรู้ว่าเพื่อนรักโกรธ เธอก็เลยกอดคอของแจวอนเอาไว้ เพราะมินารู้ดีว่าเพื่อนของเธอคนนี้ขี้ใจอ่อนมากแค่ไหน โชคดีที่การจับคู่ในครั้งนี้ครบกันเรียบร้อยแล้ว ทำให้แจวอนไม่ต้องไปจับคู่กับผู้ชายคนไหนให้หัวใจต้องวุ่นวายอีก แต่ทว่าหนุ่มๆ ที่แม้จะมีคู่แล้วก็ยังไม่วายส่งสายตาเจ้าชู้มองมาที่เธอด้วยความหื่น ! หรือจะเป็นเพราะชุดที่เธอเลือกใส่มา...มันดูล่อแหลมเกินไป ‘โอ้ไม่นะ...แค่ชุดเดรสสั้นสีดำ ไม่น่าจะเป็นที่ยั่วยวนอารมณ์ใครได้หรอกน่า’ แจวอนแอบคิดในใจ...ก็ยังดีที่ผู้ชายหัวทองซึ่งเป็นคู่นัดบอดของเพื่อนเธอไม่ได้มีสายตาแบบนั้น เพราะตอนนี้เขาเอาแต่นั่งเงียบ และยังไม่ยอมพูดจาทักทายมินาสักคำ ราวกับว่าเขาถูกบังคับให้มาในงานครั้งนี้อย่างไม่เต็มใจนัก
“นี่นายแว่น...นายชื่ออะไรเหรอ ฉันชื่อลีมินา ตอนนี้ฉันทำงานเป็นสถาปนิกและกำลังจะคิดเปิดบริษัทส่วนตัว” นี่คือประโยคแรกที่ลีมินาใช้สนทนากับคู่เดทของเธอ
“ฉันชื่อฮันซอง...” เขาตอบเธออย่างขอไปที
‘อะไรกันเนี่ย…ฉันอุตส่าห์แนะนำตัวไปตั้งยาว นายตอบกลับฉันมาแค่นี้เองเหรอ’ มินาแอบบ่นในใจ ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมานัดบอด แต่ก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมีท่าทางอันแสนเย็นชาใส่เธอแบบนี้ แต่ใบหน้าของผู้ชายคนนี้เวลามองใกล้ๆ ก็ดูหล่อดีนะ แต่จะดูดีกว่านี้อีกสิบเท่าถ้าเขาลดท่าทางที่ดูหยิ่งๆ ลงสักหน่อย
“มินา...ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา” แจวอนกระซิบบอกกับมินา เพราะเสียงเพลงแนวพังก์ร็อกที่ดังกระหึ่มขึ้นมาทำให้เธอรู้สึกหูอื้อไปหมด
“ให้ฉันไปด้วยไหม...เธอไม่เคยมาที่นี่ ฉันกลัวเธอหลงทาง” มินาตะโกนถามแจวอนด้วยความเป็นห่วง เพราะเธอก็แอบรู้สึกผิดนิดๆ (แค่นิดเดียวจริงๆ) ที่หลอกพาเพื่อนรักให้มาเป็นเพื่อนในการนัดบอด
“บ้าน่า...ฉันโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ จะได้เดินหลงทาง” แล้วแจวอนก็เดินออกจากโต๊ะไปเหมือนคนใจลอย เพราะยังคงคิดมากถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเท็ตสึ ถึงแม้จะรู้ดี...ว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบอันเกินต้านทาน ที่กำลังทำให้เธอรู้สึกทุกข์ทน